SPECIAL #คนของม่าน2017
ฟิคดราม่าเรื่องหนึ่งในปี 2017
ผู้เข้าชมรวม
532
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
“อืออ อื้อ”
“อย่าทำเสียงแบบนั้นได้มั้ย”
“หื้อ อื้อ ทำไมม่านดุพี่
พี่เป็นพี่ม่านเป็นม่าน ม่านไม่ดุพี่”
คนตัวเล็กพูดไม่เป็นภาษาเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงเปลี่ยนให้ธนูกลายเป็นอีกคนได้อย่างง่ายได้
เขาพูดเสียงดังลั่นลานจอดรถถึงแม้ว่าคนที่ต้องการสื่อสารด้วยนั้นอยู่ห่างกันเพียงแค่คืบ
จะว่าไปความสูงของทั้งสองคนห่างกันไม่มาก
แต่สัดส่วนของคนน้องกลับดูมีขนาดที่แข็งแรงกว่ามาก
แค่กๆ
“หื้อ ม่านไม่ฉะบาย ทำไมไม่ฉะบายกินยา พี่จาป้อนม่าน อ้าปาก อ้า อ้ามม”
ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อที่เอิบอิ่มชุ่มชื่นยื่นหยอกใส่คนน้องจนสะท้อนกับแสงไฟสลัวที่ลานจอดรถยิ่งให้เห็นว่ามันวาววับจนม่านต้องเบนสายตาของตัวเองไปทางอื่น
“ม่านไม่ได้ไม่สบาย ตัวเองดึงคอเสื้อม่านจนม่านจะขาดอากาศ ตายอยู่แล้วเนี่ย”
พูดจบม่านก็ดันร่างที่ควบคุมทิศทางตัวเองไม่อยู่ให้ชิดกับประตูรถฝั่งตรงข้ามคนขับ
มือขวาประคองคนพี่ไม่ให้ร่วงไปกองกับพื้น
มือซ้ายเองก็ปลดกระดุมเชิ้ตสีดำที่รั้งคอจนขึ้นเป็นรอยแดง
เพราะฝีมือคนที่เมาไม่รู้เรื่อง
กระดุมเชิ้ตสองเม็ดบนที่ถูกปลดมันก็มากพอแล้วที่จะเผยให้เห็นกล้ามหน้าอกของเด็กหนุ่มย่างเข้าวัยของเด็กมหาลัย
ม่านไม่ใช่พวกที่คลั่งออกกำลังกายแต่เรือนร่างของเขามันช่างน่าหลงใหล
“โอ๋ๆ หนายยยตรงไหนม่านเจ็บ ใครทำม่านเจ็บ”
มือซนลูบผ่านซอกคอลามไปถึงหน้าอกคนน้องอย่างเป็นห่วง
ดวงตาเรียวที่รับแสงจากภายนอกได้น้อยลงทุกทีจ้องเขม็งไปที่รอยถลอกบนผิวสีแทนของคนตรงหน้า
อีกมือก็คอยจัดสาบเสื้อน้องให้หลุดไปจากไหล่ ริมฝีปากเอิบอิ่มเมื่อสักครู่เป่าลมร้อนใส่คอระหงส์อย่างย่ามใจ
ลมที่ว่าเริ่มใกล้ขึ้นเมื่อคนพี่บังคับตัวเองไม่ได้จนเซถลาซุกสันจมูกร้อนที่มีไอน้ำเกาะนิดๆสัมผัสกับรอยถลอกนั้นโดยตรง
ม่านเองก็ไม่ได้ร้องห้ามแต่อย่างใด
แน่นอนว่าเขาปล่อยให้ธนูละเลงใบหน้าตนเองกับร่างกายของเขาจนกว่าจะพอใจได้ทั้งคืน
“ตัวเองขึ้นรถก่อนนะ เดี๋ยวคุยกันในรถ”
ธนูส่ายหัวไปมาอย่างประท้วง
สองมือก็ยังคงจับปกเสื้ออีกคนไว้แน่น ร่างกายที่เอนเอียงสวนทางกับแรงโน้มถ่วงโลก
ต้องคอยหาที่ยึดเหนี่ยวกลายเป็นลูกธนูที่ส่ายไปมาพลันทำให้ม่านเมฆสีขาวบริสุทธิ์เริ่มกลายเป็นม่านมนตร์สีเทาที่มองอีกคนเปลี่ยนไป
ติณณภพเหลือบมองท่าทางน่าเอ็นดูยามที่คนพี่เบียดแก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อกับหัวไหล่มนของตนเองซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่มีเบื่อแม้ปากจะพร่ำบ่น
“ขึ้นรถก่อนจะยืนไม่ไหวอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
“ไหว พี่ไหว พี่ไม่เมานะ ม่านก็รู้พี่ไม่เมาไม่”
“จะไม่เมาได้ยังไง บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าดื่มเยอะ เมาง่ายเลื้อยเก่ง
ต่อไปใครจะยอมให้ออกไปไหน ห๊ะ! ก็เป็นซะอย่างงี้”
ม่านดันธนูออกไปข้างหน้าให้แนบชิดไปกับรถยนต์คันหรูของตัวเอง ความหมายคือต้องการจะมองใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนสีให้ชัดมากกว่าเดิม
แต่อีกคนกลับเอาแต่ทุบตีแขนของน้องไม่หยุด ดิ้นขลุกขลักไปมาเหมือนเด็กเล็กที่ถูกพ่อแม่ตามใจจนเคยตัวไปแล้ว
“…ห๊ะ! ห๊ะก็เป็นซะอย่างเงี้ย.. งืม”
“ยังจะมาพูดตามอีก”
“ยังจามาพูดตามอีก หึ..”
“ตัวเอง! ม่านจะโกรธแล้วนะ”
ม่านพูดเสียงแข็งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จะให้ทำยังไงได้ในเมื่ออีกคนเอาแต่กวน
พูดจาวกไปวนมาจนไม่รู้เรื่อง
เมาแล้วไม่ยอมเชื่อฟังใครทั้งนั้นเวลาก็ยิ่งล่วงเลยผ่านไปเรื่อยๆ
ทั้งดึกทั้งง่วงทั้งเพลีย
ม่านเองก็ดื่มไปพอสมควรเหมือนกันแต่ก็คงจะเมาไม่ได้เพราะต้องคอยดูแลคนคออ่อนที่กวนประสาทอยู่ตอนนี้
“ม่านจาโกดแย้วน- อุบ..”
และแล้วความอดทนที่พยายามข่มใจตัวเองเอาไว้ก็ขาดผึ่ง
ไม่ใช่เพราะธนูพูดจาเหยาะแหยะกวนประสาทอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเพราะม่านมีภูมิต้านทานความน่ารักของพี่ธนูอยู่น้อยเหลือเกิน
ยิ่งเห็นคนพี่เริ่มทำหน้าทำตาแสดงท่าทางเชิงเย้ยหยิ่งใส่เขาเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกคันฟันจนอย่างจะฟัดให้จมเขี้ยวเท่านั้น
ริมฝีปากของม่านเริ่มแห้งผากเรื่อยๆทางแก้ไขหนึ่งเดียวตอนนี้คือการฉกชิงรูปปากเรียวเล็กที่เต็มไปด้วยรสชาติของแอลกอฮอล์หวานชั้นดีนั้นมาครอบครองซะ
และแน่นอนว่าจังหวะกรึ่มๆไม่ได้สติแบบนี้แหละ ร่างกายของธนูยิ่งตอบสนองเขาดีนัก
ลูกธนูที่ติดไฟกำลังพุ่งทะยานไปไกลเกินจะกู่ให้กลับ มือเรียวทั้งสองข้างยังกำปกเสื้อของม่านไว้แน่นและเพิ่มแรงขึ้นเรื่อยๆให้เท่ากับแรงบดขยี้ที่ม่านส่งผ่านริมฝีปากร้อนมาให้
ดวงตาปรือที่พยายามสู้แสงอยู่นาน
สุดท้ายก็พ่ายให้กับความรู้สึกร้อนแรงกว่าแสงนีออนใดใดทั้งปวง แพขนตายาวสั่นไหวยามที่หลับตาและข่มเปลือกตาไม่ให้สะดุ้งเมื่อเขี้ยวแหลมลงน้ำหนักฝังริมฝีปากบาง
มันช่างยากอะไรอย่างนี้
“ม่าน ทำแบบนี้อีกแล้วนะม่านไม่ขอม่านทำๆๆเลย ไม่ขอ”
ธนูพ่นประโยคยาวที่เสียงขาดหลุดหายไปบ้างแต่ก็ยังฟังรู้เรื่องอยู่
หลังจากที่คนน้องดูดกลืนความหวานของแอลกอฮอล์หลายชนิดอยู่นานจนพอใจ กว่าเขาจะยอมถอนริมฝีปากออกให้คนพี่ก็แทบจะหมดเฮือกลมหายใจสุดท้ายอยู่รอมร่อ
“งั้นม่านขอได้มั้ย…”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆเล็ดลอดออกมา แต่ธนูหยัดตัวเองขึ้นสุดตัวเป็นคำตอบ
ความสูงร้อยแปดสิบกว่าเซนทำให้ท้ายทอยเขาอยู่เกยกับหลังคารถพอดิบพอดี
ลำคอขาวจนเห็นเส้นเลือดบางๆตัดกับสีผิวน้ำนมข้าว กลิ่นน้ำหอมที่ม่านย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ให้เขาฉีดมาในคืนนี้ยังอยู่ติดแน่นแม้จะผ่านไปค่อนคืนแล้ว
เหตุผลไม่มีอะไรมากเพราะกลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่ทำให้ม่านหลงรักในเรือนร่างของธนูอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
แล้วเขาก็ไม่อยากให้ใครต้องมาหลงรักแบบที่เขาเป็นอีก
จมูกคมสูดดมไล่รับกลิ่นความหอมนั้นอย่างดุดันราวกับจะให้มันหายไปจากเรือนร่างเล็กในพริบตาเดียว
มือหนาเปลี่ยนจากไหล่ของพี่มาที่เอวเล็กเพื่อประคองให้เขาอยู่นิ่ง
เสียงพึมพำขึ้นจมูกดังขึ้นเป็นครั้งคราวเหมือนว่าพยายามจะเอ่ยห้ามแต่ก็พูดไม่ออกทุกครั้งเมื่อริมฝีปากของอีกคนจู่โจมกลืนกินคำพูดเหล่านั้นไว้ทุกคำ
ถ้าจะให้ธนูปฏิเสธและขับไล่คนน้องออกไปตอนนี้คงยาก
เพราะเขารู้สึกดีเหลือเกินที่เห็นอีกคนเป็นแบบนี้เพราะเขา
“หื้อ ย..เย็น..จัง”
ร่างบางสะดุ้งเฮือกพูดไม่เป็นศัพท์
เมื่อม่านเปลี่ยนตำแหน่งมือสอดผ่านเสื้อยืดสีขาวลากไล้กระจายความเย็นทั่วหน้าท้องเนียนของคนพี่
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามือของม่านมันใหญ่หรือตัวของธนูเล็กกันแน่
เขาถึงได้ลูบไล้วนทั้งหน้าหลังได้ในเวลาอันสั้นขนาดนี้
“หืม เย็นหรอเข้าข้างในมั้ย”
ถึงม่านจะเข้าใจดีว่าความเย็นที่ธนูพูดถึงไม่ใช่สภาพอากาศภายนอก แต่เขาก็แกล้งไม่สนใจ
คนเมาเองก็ไม่เข้าใจว่าอีกคนพูดถึงอะไรแต่ก็พยักหน้าตอบกลับแต่โดยดี
มือหนาที่เป็นต้นเหตุของความเย็นสอดรับท้ายทอยของคนพี่เอาไว้ ม่านเปิดประตูรถตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
รู้อีกทีเขาก็ค่อยๆดันตัวของธนูเข้าไปนั่งในเบาะรถแล้ว พร้อมกับปรับเบาะลงในต่ำที่สุดเพื่อให้คนพี่หลับได้สบาย
“ม..ม่านไม่ขับรถหรอ”
ธนูเอ่ยถามขึ้นเมื่อเขาเห็นว่าม่านอยู่บนตัวเขานานจนเกินไป
ซ้ำยังเอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้น แม้มือของอีกคนจะคอยจัดๆจับๆสาบเสื้อให้เขาเอง
แต่นานไปมันก็กลายจากจัดให้เข้าที่เป็นปลดเสียมากกว่า
“ตัวเอง.. ม่านบอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้ฉีดน้ำหอม”
“ก็มั- อุบ”
ริมฝีปากของคนด้านบนฉกชิงอย่างรวดเร็วก่อนที่ธนูจะร้องเถียง
จนคนพี่มุ่ยหน้าใส่กับความเอาแต่ใจของน้อง
“ม่านบอกแล้วใช่มั้ยว่าเสื้อคอกว้างน่ะอย่าใส่มา”
“พี่ไม่ได้ตั้งใ- อ๊ะ!”
มือหนาที่ลูบสะเปะสะปะสำรวจไปทั่วบนร่างเล็กหยุดไว้ที่ตุ่มไตสีชมพูพลางสะกิดเบาๆดูการตอบสนองของธนูที่จ้องเขม็งเหมือนจะเอาเรื่องอยู่ตอนนี้
“ข..ขอโทษ”
“วันนี้ ตัวเองทำผิดใช่มั้ย”
“อื้อ”
“วันนี้ทำตัวไม่น่ารักใช่มั้ย”
“อื้ม”
“ให้ลงโทษมั้ย”
“ห๊ะ… หื้อไม่เอา”
ทันทีที่พูดจบคนพี่ก็ก้มหน้างุดไม่ยอมสบตาคนที่คร่อมอยู่ด้านบน
รู้ตัวอีกทีเบาะที่นั่งก็เด้งกลับมาเป็นปกติเพราะน้องยอมลุกขึ้นปล่อยให้พี่ได้เป็นอิสระ
ธนูเงยหน้าขึ้นเมื่อประตูรถอีกฝั่งเปิดกว้าง เสียงปิดประตูดังจนคนตัวเล็กสะดุ้ง
ตั้งแต่นั้นธนูก็เริ่มรู้แล้วว่าเขาคงทำให้ม่านหัวเสียไปแล้ว ความเงียบก็เข้าครอบงำบรรยากาศในรถ
แต่ธนูเองก็ทั้งง่วงและฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่อยู่ในตัวก็ยังไหลเวียนจนทำให้เขาเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ได้ยินเพียงเสียงเพลงสากลคลอเบาๆกล่อมให้เขาหลับฝันดี
ตรงกันข้ามกับใบหน้าของติณณภพที่บ่งบอกว่าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดเจน
สถานที่คุ้นเคยตั้งแต่ที่ธนูกลับมาไทย ถ้าเอามาเฉลี่ยจริงๆแล้วเขาอาจจะมาบ่อยกว่าบ้านตัวเองเสียด้วยซ้ำ
กว่าจะมาถึงห้องได้ม่านก็ทุลักทุเลพอสมควรเพราะคนพี่ช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้เลย
แรงฮึดสุดท้ายก่อนแขนที่เมื่อยล้าจะหยุดทำงานเขาวางธนูลงบนเตียงอย่างนุ่มนวลที่สุด
ทั้งที่ในใจก็ยังแอบเคืองที่พี่ไม่ยอมเชื่อฟังอยู่
ธนูลืมตาขึ้นมามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทันทีที่หลังของเขาสัมผัสกับความนุ่มของเตียงขนาดคิงไซซ์
“ม่านไปอาบน้ำก่อนนะ ตัวเองนอนไปเลยก็ได้”
ม่านวางมือถือที่พึ่งจะพิมพ์รายงานแก๊งโตเกียวไปลงบนเตียง
เร่งฝีเท้าเดินเข้าห้องน้ำไม่มองกลับมาหาธนู ด้วยความเหนื่อยล้าบวกกับความไม่พอใจหน่อยๆ
เขาเลยคิดว่าตัวเองควรแช่น้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายซักครึ่งชั่วโมงก่อนค่อยมานอน
อันที่จริงแล้วม่านก็ไม่ได้อยากโกรธคนพี่ซักเท่าไหร่
แต่อาจจะเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ก็รู้สึกไม่สบายใจที่พี่จะต้องกลับไปเรียนอยู่แล้ว
เขาเลยกลายเป็นเด็กขี้หวี่ยงเอาแต่ใจขึ้นมาดื้อๆ
เวลาผ่านไปน้ำอุ่นช่วยขจัดทุกสิ่งออกจากสมองของม่าน ความหนักใจ
ความอึดอัด หายไปชั่วครู่ แต่เมื่อออกมาเขากลับเห็นคนพี่นอนเล่นมือถือตาใสอยู่บนเตียง
ตอนนั้นเขาก็ได้รู้ว่าการแก้ปัญหาด้วยน้ำอุ่นนั่นเป็นอะไรที่สิ้นคิดจริงๆ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย… ในเมื่อคนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ยังนอนสบายใจอยู่ตรงหน้า
“ม่านบอกให้นอนไม่ใช่หรอ แล้วเอามือถือม่านมาเล่นทำไม”
“….”
“ทำไมมองหน้าม่านแบบนั้น”
“วันนี้พี่ไม่น่ารักเลยใช่มั้ย” ธนูตอบเสียงสั่นพลางวางมือถือลงไว้ที่เดิม
“ใช่ ตัวเองไม่น่ารักเลย”
ม่านตอบอย่างไม่ทันคิด เขาหย่อนตัวลงบนเตียงขณะเดียวกันธนูก็ดีดตัวขึ้นจากเตียงมานั่งข้างๆ
หยดน้ำที่เกาะพริ้งพราวตามลาดไหล่ ท่อนบนเปลือยเปล่ากลิ่นสบู่อ่อนๆหลังจากอาบน้ำช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากเพราะม่านหวงตัวยิ่งกว่าอะไรดี
มันทำให้สีหน้าของธนูเปลี่ยนไปจากเดิมที่เอาแต่ยิ้มหัวเราะเล่นไม่สนใจใคร
ท่าทางที่เริ่มมีสติขึ้นมานิดหน่อยบ่งบอกว่าเขาคงสร่างเมาไปบ้างแล้ว เห็นธนูเริ่มทำหน้าจริงจังม่านก็นึกอยากแกล้งให้อีกคนรู้สึกผิด
“ม่านบอกตัวเองไปหมดแล้วใช่มั้ยว่าคืนนี้อย่าดื่มเยอะ
ตัวเองต้องพักผ่อนเดี๋ยวก็แฮ้งกลับไม่ได้ ม่านก็บอกไปแล้วใช่มั้ย
ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาใครจะดูแล ใครจะรับผิดชอบ”
ม่านดุคนตรงหน้ายาวเหยียด คอยดูปฏิกิริยาของอีกคนที่เปลี่ยนไปตามเสียงของน้องที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
ธนูไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาเอาแต่ก้มหน้ารับฟังความผิดของตัวเองไปเรื่อยๆ เพราะม่านก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆเหมือนกัน
“อีกอย่างเรื่องชุดม่านก็เตือนไปแล้ว ม่านบอกไปแล้วแต่ทำไมไม่ฟัง
ไม่คิดจะเชื่อฟังกันเลยใช่มั้-”
“ม่านจะลงโทษพี่มั้ย”
ประโยคสั้นๆที่ทำเอาคำพูดยาวเหยียดของม่านอันตรธานหายไปในที่สุด
สายตานุ่มนวลของชายหนุ่มเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว
“แล้วตัวเองจะให้ม่านลงโทษมั้ย”
แม้จะไม่ตั้งใจฟังแต่ก็ยังรู้สึกได้ชัดว่าน้ำเสียงของม่านมันเปลี่ยนไปจากเดิม
ทั้งแหบพร่า กระเส่าอัดแน่นไปด้วยความต้องการที่ยากจะหยั่งถึง จังหวะที่ธนูยอมเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาหยั่งเชิงของอีกคนมันเป็นอะไรที่เหมือนกับสงครามประสาทที่สุด
ม่านเองก็จะให้รู้ไม่ได้ว่าคำพูดพรรณนาที่พ่นออกไปนั่นไม่ใช่ความโกรธจริงๆนักหรอก ถ้าจะบอกว่าสิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจคือการที่ธนูปฏิเสธการลงโทษของเขาเมื่อชั่วโมงที่แล้วก็น่าจะถูกกว่า
“ว่าไงครับ คนผิดก็ต้องโดนลงโทษใช่มั้ย”
เพราะกลัวการถูกปฏิเสธซ้ำสอง ครั้งนี้ม่านเลยตัดสินใจรุกก่อน
ทฤษฎีต้อนคนผิดให้จนมุมจะต้องใช้ได้ผลอย่างแน่นอน
เขาเริ่มขยับเข้าไปประชิดคนพี่อีกครั้งในระยะที่ใกล้มากกว่าเดิม
เส้นผมที่เปียกชุ่มและปกคลุมไปด้วยหยดน้ำยามที่เจ้าของมันขยับตัว
ละอองน้ำก็หยดลงบนร่างกายของธนู เสื้อขาวที่ก่อนหน้านี้ก็บางจนแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับผิวอยู่แล้ว
ยิ่งตอนเปียกน้ำมันก็ยิ่งทำให้เห็นอะไรต่อมิอะไรไปมาก
มือหนาที่ยังรักษาอุณหภูมิความเย็นไว้ได้ดีแตะเบาๆที่กรอบหน้าสวยเชิงเค้นให้อีกคนตอบตกลง
ธนูยังคงเงียบทั้งที่ม่านพยายามเรียกร้องและสื่อสารให้เขาเข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่เด็กผู้ชายคนนึงจะทำได้แล้ว
“อย่า..”
อีกครั้ง..
ที่คนน้องต้องยอมรับความจริงและผลักตัวเองออกมาก่อนจะตกลงไปในเหวลึกจนไม่สามารถถอนตัวขึ้นมาได้
เขาไม่ใช่พวกสัตว์ดุร้ายเลยต้องถามความสมัครใจของอีกฝ่ายอยู่เสมอ
แม้บางครั้งมันจะขัดใจเขาไปบ้าง แต่ก่อนที่ม่านจะลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปแต่งตัวใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย
มือเล็กๆที่เขี่ยริมฝีปากแห้งของตัวเองเหมือนกำลังครุ่นคิดอยู่นาน
ก็ตัดสินใจเอื้อมมาดึงข้อมือหนาเอาไว้
“อย่าทำรอยนะ.. ด..เดี๋ยวเพื่อนล้อ”
น้ำเสียงแผ่วเบาค่อนไปทางกระซิบด้วยซ้ำแต่กลับทำให้ใจของม่านเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา
นัยน์ตาใสเบิกกว้างพร้อมกับทิ้งตัวลงไปบนเตียงอย่างไม่ต้องคิดอะไร
“ได้ครับ”
เขาดีใจจนแทบจะจับสติตัวเองไม่อยู่และลืมไปว่ายังไม่ได้ตบปากรับคำกับอีกคนเลย
มีขอมายังไงน้องก็จะให้แบบนั้นแหละ ไม่มีรอยก็ไม่มีรอยแค่นี้ม่านให้ได้อยู่แล้ว
วิธีการลงโทษแบบฉบับติณณภพแล้วไม่มีอะไรเข้าใจยากเลย
ก็แค่ทำให้อีกคนจะขาดใจตายจนต้องเรียกชื่อเขาซ้ำๆวนไปอยู่อย่างนั้น
เริ่มจากการพรมจูบให้ทั่วตัวคนทำผิดก่อน
“อ๊ะ ม่าน.. ทำไมวันนี้เริ่มจากตรงกลางล่ะ”
“แล้วตัวเองจะให้ม่านเริ่มจากตรงไหน”
“ทุกทีม่านก็เริ่มจากบนๆก่อนไม่ใช่หรอ”
ม่านนิ่งเงียบทำท่าคิดไปซักพักก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
คนที่นอนราบกับเตียงขมวดคิ้วใส่อย่างสงสัย
ในทางกลับกันอีกคนก็แอบรู้สึกผิดที่เขาคงจะทำโทษพี่บ่อยเกินไปจนพี่จำได้ทุกขั้นทุกตอนว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อน
แต่ก็อย่างว่านี่เป็นวิธีการทำโทษฉบับติณณภพ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตามใจติณณภพน่ะสิ
“วันนี้ม่านอยากเริ่มจากตรงนี้”
“อ..เอางั้นก็ได้”
เขาพรมจูบเบาๆ ไปทุกสัดส่วนให้คนพี่ให้บิดเร้าปรับเปลี่ยนอิริยาบถต่างๆ
จริงๆมันคือการหลอกให้วอร์มร่างกายก่อนจะเจอของจริงต่างหาก
“โอ๊ย! ร้อน”
ลิ้นเรียวเริ่มตวัดหาอาณาจักรครอบคลุมของตัวเอง ลากผ่านหน้าท้องเนียนขึ้นสูงเรื่อยๆ
และแตะเข้ากับยอดอกของอีกคน ธนูกลายเป็นคนที่หาอุณหภูมิในร่างกายตัวเองไม่เจอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เดี๋ยวบ่นเย็นบ่นร้อน ม่านเงยหน้าขึ้นมามองอีกคนที่เริ่มหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่าคงไม่ใช่เพราะของมึนเมาที่ธนูกินเข้าไปแน่ๆ
สิ่งที่จะมอมเมาธนูได้มากกว่านั้นอยู่ตรงนี้แล้ว
“ตัวเองรักม่านมั้ย”
“ถามอะไรแบบนี้อีกแล้ว”
“ตอบให้ฟังหน่อยสิ”
“พี่ตอบเป็นรอบที่ล้านแล้วนะ ตั้งแต่มาอะ”
“งั้นก็เริ่มรอบที่ล้านหนึ่งเลย”
“รักสิ พี่ไม่เคยไม่รักม่านเลยรู้มั้ยครับ”
สิ้นสุดประโยคกางเกงยีนส์สีอ่อนก็ถูกถอดออกจากเรียวขา
โดยที่ธนูไม่รู้เลยว่าเขาแอบรูดซิปลงรอไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จริงๆแล้วม่านไม่ได้อยากรู้ว่าคนพี่รักเขาหรือเปล่าหรอก
มันเป็นประโยคคำถามเชิงขออนุญาตที่ธนูไม่เคยรู้เลยต่างหาก
มีบางอย่างที่เย็นจัดสัมผัสกับผิวขาอ่อนด้านในจนธนูต้องหยัดตัวเองขึ้นมาหาสาเหตุ
ผิวสัมผัสคล้ายสแตนเลสที่ต้องกับความหนาวของแอร์จนทำให้มันมีความเย็นสูง
ทันทีที่ธนูลุกขึ้นมาสิ่งนั้นก็สะท้อนแสงไฟหัวเตียงกระทบกับตา
ไม่ได้เจอมันมานานแล้วนะ
จริงๆแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ธนูได้เห็นมันกับตาของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
ช่างสวยงามจริงๆ สร้อยที่เขาเคยฝากให้จุลลาทำไว้
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่กว่าเขาจะได้เห็นมันอยู่บนคอของเจ้าของ
ธนูจำได้ว่าเมื่อตอนที่อยู่ลานจอดรถ ม่านไม่ได้ใส่มัน
ถึงเขาจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปแอบใส่ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่เขาก็ดีใจที่ได้เห็น
ม่านละสายตาจากเรียวขาเล็กเมื่อเห็นว่าอีกคนนิ่งนานจนเกินไปก็กลัวจะหลับหนีกันไปเสียก่อน
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นพี่จ้องสร้อยที่ตัวเองสวมอยู่ไม่วางตา สร้อยตัว M สลับกับ W ที่อีกคนได้ออกแบบไว้
“มันสวยใช่มั้ยครับ”
ม่านพูดพร้อมกับดันตัวเองให้สูงขึ้น เพื่อให้พี่ได้ดูมันใกล้ๆ
“อื้อ อยู่บนตัวม่านแล้วมันสวยมากเลย”
“ขอบคุณนะ”
“แค่นี้เอง พี่ให้เราได้อยู่แล้ว”
“เดี๋ยวนี้เป็นสายเปย์หรอ”
“ก็เปย์มาตั้งนานแล้วมั้ยล่ะ”
ภาพสุดท้ายที่เห็นคือคนตรงหน้าหัวเราะชอบใจกับคำพูดตลกของพี่
หลังจากนั้นธนูก็ไม่รับรู้อะไรได้เลยไฟบนเพดานถูกขอให้หรี่ลงเพราะความเขินอายแม้จะไม่ใช่ครั้งแรก
เห็นได้ชัดเลยว่าประสบการณ์ทำให้ม่านเด็กที่เรียนรู้อะไรๆได้เร็ว
มีความเชี่ยวชาญขึ้นมากแค่ไหน ทุกจังหวะที่เขาสัมผัสได้มันช่างเรียบเนียนไม่สะดุดอารมณ์แม้แต่ชั่ววินาทีเดียว
ไม่รู้ว่าเพราะคิดเข้าข้างตัวเองหรือเปล่าแต่พวกเขาไปกันได้ด้วยดีมากเลยแหละ
อย่างแรกที่ธนูทำหลังจากตื่นขึ้นมาไม่ใช่การหันไปสนใจคนข้างๆ
แต่กลับดีดตัวเองขึ้นมาส่องกระจกพลิกไปมาสำรวจตัวเองอยู่นานหลายนาที
“ทำอะไรอะครับ”
“แป็ปนึงนะ พี่ดูอยู่”
“ดูอะไรอะครับ” ม่านขยี้ตาไปมาเหมือนเด็กง่วงที่กำลังถูกขัดใจ
“ก็ดูรอยบนตัวไง ม่านได้ทำรอยไว้รึป่าว”
“ตัวเอง.. ม่านรับปากแล้วไงว่าจะไม่ทำ”
“อ้อ ใช่”
“แล้วตัวเองเห็นรอยมั้ยล่ะ”
“ก็..ไม่..”
“….” ม่านมุ่ยหน้าใส่อีกคนที่ทำตัวเหมือนไม่เชื่อใจก่อนจะทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงเพราะความเพลียอีกครั้ง
“ติณณภพนี่เจ๋งที่สุดเลย”
พูดพร้อมกับหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำที่แขวนอยู่มาพาดไว้บนแขน
คนน้องที่พึ่งทิ้งตัวลงบนเตียงยังไม่ทันได้อุ่นก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง
“ตัวเองเรียกว่ายังไงนะ”
“ติณณภพ”
“เรียกชื่อจริงม่านหรอ”
“ก็ใช่ไง”
“ถูกใจใช่มั้ยล่ะที่ม่านไม่ทำรอย”
“อื้อ”
“จะให้รางวัลมั้ย”
“รางวัลอะไรอีก”
“ก็รางวัลไง ม่านทำดีตัวเองก็ต้องให้รางวัล”
“แล้วจะเอาอะไร”
“ไม่เห็นต้องถามเลย” สายตาเลิ่กลั่กไปมาของม่าน
ก็พอจะเดาออกว่าความต้องการของเขามันคืออะไร
“นั่นมันลงโทษ”
นึกว่าจะยอมเออ ออด้วยง่ายๆแต่คงจะไม่ใช่แล้ว
พี่ธนูก็ไม่ใช่คนจะตามใจใครง่ายๆซะด้วย
“…..”
“ทำไมลงโทษกับรางวัลมันถึงเหมือนกันล่ะ”
“ก็สิ่งที่ม่านอยากได้ที่สุดมันจะมีอะไรไปมากกว่าการได้อยู่กับตัวเองล่ะ”
“….”
คนเป็นพี่ถอนหายใจมองน้องที่นอนทอดตัวยาวกระพริบตาปริบๆอย่างอ้อนวอนอยู่บนเตียง
ให้มันได้อย่างนี้แหละ
ให้มันได้อย่างนี้…
สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยอมแขวนเสื้อคลุมอาบน้ำไว้ที่เดิมอีกครั้ง
เพราะคนน้องมันเรียกร้องซะเหลือเกิน
ถ้าไม่ยอมเดี๋ยวก็คงจะมางอแงอีกว่าทำดีแล้วไม่ได้รางวัล
คนเขาจะทำดีจริงๆเขาไม่มาเรียกร้องหรอก มีแต่คนทำดีแล้วหวังผลเท่านั้นแหละ…
แล้วดันได้ผลซะด้วยสิ….
หลังจากรับรางวัลกันไปยกใหญ่ก็พึ่งมารู้จากปากของคนพี่ว่าที่ไม่ยอมให้ทำรอยเพราะดันไปพนันกับพวกเด็กๆว่าคืนนี้
รอดจากสัตว์ป่าอย่างม่านไปไหม หึ…ระดับม่านแล้วมีหรือจะปล่อยให้รอดไปง่ายๆ ต้องกินอย่างมีชั้นเชิง..
“ม่าน! แรงไปแล้วเดี๋ยวเป็นรอย”
“นิดเดียวหน่าตัวเอง”
“ไม่เอาเดี๋ยวโดนล้อ”
“นิดเดียวนะๆๆๆ นิดเดียวนะเบาๆ”
-the end-
จบจริงๆ จริงๆแล้วจ่ะนายจ๋า
ขอบคุณอีกพันครั้งสำหรับการติดตามเรื่องนี้
ไม่มีอะไรจะมอบให้นอกจากความรักจากเราเอง ฮิ้ฮิ้
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ คาราเมลโลนิน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ คาราเมลโลนิน
ความคิดเห็น